ยกตัวอย่าง ช่วงเดือนตุลาคม 2012 ยกตัวอย่างเรื่องดีๆ ที่ขายได้น้อยกว่า 3 พันแผ่นในชุดแรก ก็มี Tonari no Kaibutsu-kun 2,494 แผ่น, Jormungand: Perfect Order 2,392 แผ่น, Zetsuen no Tempest 1,911 แผ่น, Robotics;Notes 1,235 แผ่น, Shinsekai Yori (vol.2) 528 แผ่น และ Btooom! (vol.3) 345 แผ่น บางเรื่องสนุกน้อยกว่ามังงะ, ไลท์โนเวล หรือเกมก็จริง แต่ยอดดูจะน้อยเกินไป เทียบกับ To LOVE-Ru Darkness ที่เดินเรื่องสบายๆ ตามมังงะ ลายเส้นก็ไม่ได้ดีเท่า กลับขายได้ตั้ง 12,838 แผ่น หรือจะดูต้นมกราคม 2013 ที่เป็นช่วงแนวสบายๆ มาตีกัน ยิ่งเห็นชัดว่าเรื่องที่มีคนชมเยอะแบบ Mondaiji กับ Maoyu ก็ขายไม่ค่อยดีนัก
![]() |
Shinsekai Yori เรื่องดี ที่ขายไม่ออก |
วิธีเอาตัวรอดของบริษัทต่างๆ จึงหันไปเอาดีทางอนิเมะแนวโมเอะและเซอร์วิสกันเป็นหลัก เพราะกลุ่มที่ช่วยตลาดกลุ่มนี้ กลับเป็นกลุ่มที่ซื้อเพราะตัวละคร ประเภทซื้อแบบไม่ต้องคิดมากและมีกำลังทรัพย์พอ แนวขายตัวละครจึงกลายเป็นเรื่องขายแล้วไม่ค่อยขาดทุนนัก ทำให้อนิเมะแนวเน้นตัวละครสวย ใส แบ๊วๆ เยอะขึ้นตามลำดับ ส่วนแนวเอาใจสาว Y ก็เริ่มเยอะขึ้นเพราะเป็นอีกกลุ่มที่กำลังซื้อเยอะเหมือนกัน สังเกตในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมานี้ แนวที่สร้างจากการ์ตูนผู้หญิงและแนวหนุ่มหล่อก็เยอะขึ้นมาก บางเรื่องก็พยายามทำให้ขายได้ทั้งกลุ่มผู้หญิงและผู้ชายก็มี
เคยมีโปรดิวเซอร์ท่านหนึ่ง บอกว่าอนิเมะถ้าขายแต่ผู้ชม สักวันจะวงการอนิเมะญี่ปุ่นจะตกต่ำลง ส่วนหนึ่งผมก็ว่าจริง แต่อีกส่วนหนึ่งกลับว่าไม่ขายก็อยู่ยาก อีกอย่างการขายแค่เซอร์วิสอย่างเดียวไม่ทำให้ผู้ชมซื้อได้ ยังต้องมีการพัฒนาคุณภาพเนื้อหาควบคู่กันไป เพื่อให้มีคุณค่าในการซื้อมากขึ้น สังเกตว่าแนวเซอร์วิสแบบไม่มีอะไรเลยก็อยู่ไม่ได้เหมือนกัน (ยกเว้นบางเรื่อง) มีการแทรกเนื้อเรื่องดีๆ, แทรกมุกฮา, ฉากต่อสู้สนุกๆ, ฉากน่าประทับใจเข้าไปบ้าง เป็นโจทย์ที่ผู้ผลิตต้องคิดกันต่อไปว่าต้องแบ่งสัดส่วนอย่างไรถึงจะถูกใจผู้ชมในปัจจุบัน
บทความที่เกี่ยวข้อง
ธุรกิจอนิเมะ ตอนที่ 1 : ความซับซ้อนด้านการบริหาร
ธุรกิจอนิเมะ ตอนที่ 2 : ลดต้นทุนด้วยการฉายรอบดึก
ธุรกิจอนิเมะ ตอนที่ 3 : ช่วงเวลาฉายกับคุณภาพของงาน
ธุรกิจอนิเมะ ตอนที่ 4 : เหตุที่อนิเมะส่วนใหญ่สร้างแค่ 12 – 13 ตอนจบ
สุดยอดเลย ผมไล่อ่านบทความ Knowl ดีมากครับ เอามาลงบ่อย ๆ นะ
ReplyDelete